ในสภาพแวดล้อมของโลกแฟชั่นสตรีทที่เต็มไปด้วยการ Collab ต่างๆ ไม่บ่อยคร้งนักที่เราจะเห็นการร่วมงานแบบ “Three-Way Collab” ที่เป็นการพบกันของแบรนด์สามแบรนด์ ซึ่งรองเท้าที่แวะเวียนมาหา Carnival ในครั้งนี้มาจากการร่วมงานกันของแบรนด์จากสามทวีป! ผลลัพธ์คือการผสานกันของวัฒนธรรมเเละงานดีไซน์ที่ไม่มีใครเหมือน วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจองค์ประกอบของ BEAMS x Bodega x adidas Adimatic ผ่านประวัติย่อของเอกลักษณ์ทั้งสามที่รวมเป็นหนึ่งได้อย่างลงตัว
BODEGA
หากคุณเดินผ่าน Bodega คุณจะไม่มีทางรู้ เพราะมัน “Hidden in plain sight” นันคือซ่อนไว้แบบให้คุณคิดไม่ถึงนั่นเอง เพราะภายนอกของร้าน Bodega เป็นเหมือนกับร้านสะดวกซื้อหรือธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าภายในคือร้านสตรีทแฟชั่นระดับโลก Bodega ก่อตั้งขึ้นโดย Dan Notola, Oliver Mak และ Jay Gordon ในปี 2006 ที่เมืองบอสตันด้วยคอนเซ็ปท์ที่ว่าด้วยการเป็นร้านที่เข้าถึงได้ cool & calm แต่มองครั้งแรกคุณอาจจะเดินผ่านมัน ไปได้ง่ายๆ ด้วยการที่ชื่อนำมาจากคำว่า Bodega ที่เป็นแสลงของฝั่ง East Coast ที่ใช้เรียกร้านสะดวกซื้อหรือร้านของชำที่อยู่หัวมุม ซึ่งส่วนมากเป็นร้านของคนกลุ่มน้อยที่ย้ายประเทศเข้ามา
คอนเซ็ปท์ของร้านลับนั้นมีมานานแล้วในวงการผับบาร์ร้านอาหาร แต่สำหรับร้านเสื้อผ้าที่ต้องการเน้นภาพลักษณ์ให้หรูหราน่าเข้าชมที่สุดนั้นไม่เคยมีการทำสิ่งนี้มาก่อน และด้วยความที่พาร์ทเนอร์ผู้ก่อตั้งทั้งสามมีนิสัยที่เรียบง่าย และมุมมองธุรกิจที่แตกต่างทำให้ “ร้านชำ” ที่อยู่ด้านหน้านั้นมีสินค้าบ้านๆ ทั่วไป แต่ออกแบบโดย Bodega ซึ่งก็เข้ากับวัฒนธรรมสตรีทที่เห็นในปัจจุบัน แต่ในปี 2006 นั้นถือเป็นเรื่องแปลกใหม่มากนับตั้งแต่เปิดร้านครั้งแรกในปี 2006 จนถึงเกือบสิบปีต่อมาในปี 2018 เราก็ได้เห็น Bodega สาขา Los Angeles ซึ่งเป็นร้านความกว้าง 746 กว่าตารางเมตร แต่ยังคงคอนเซ็ปท์ของร้านแบบ Bodega เอาไว้ครบถ้วน ด้วยด้านหน้าที่เหมือนกับอู่เรือและลังผลไม้ของชำต่างๆ ที่วางไว้เกลื่อนกลาด สมกับภาพลักษณ์ของคอนเซ็ปท์ร้านลับที่มีผู้คลั่งใคล้อยู่ทั่วโลกจริงๆ
Bodega LA ยังเป็นพื้นที่กึ่ง Gallery ที่มีการจัดแสดงงานและมุมหนังสือและแม็กกาซีน พื้นที่ของ LA เหมาะกับ Bodega เป็นอย่างมากในสายตาผู้ก่อตั้งทั้งสามพวกเขากล่าวว่า LA เป็นเมืองที่พิเศษและมีเอกลักษณ์ ผู้คนในเมืองเจ๋งๆ นี้พร้อมจะทำอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา วัฒนธรรม อาหาร และผู้คนพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบนับตั้งแต่การเปิดตัว Bodega ก็ได้นำพาให้เมือง Boston กลายเป็นหนึ่งในสถานที่แห่งสตรีทแฟชั่นที่ใครที่สนใจก็ต้องหันมามอง ในปัจจุบัน Bodega กลายเป็น Sneaker Boutiques Store ที่โด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้ในตอนแรกจะไม่ได้มีการโปรโมทหรือการตลาด ตามคอนเซ็ปท์ “ร้านลับ” แต่ด้วยเอกลักษณ์ของ Bodega ที่เป็นตัวเองเสมอมาทำให้กลายเป็นร้านที่จำหน่ายรองเท้าโมเดล Limited Edition ของ Nike มากมาย และภายในแค่สองปีหลังจากเปิดร้านก็ได้รับสิทธ์การวางขายรองเท้า Nike ระดับ Tier Zero ซึ่งเร็วมากเลยทีเดียว
ถึงแม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จในฐานะแบรนด์อย่างล้นหลามแต่สิ่งที่ต่างจาก แบรนด์ระดับโลกอื่นๆ คือพาร์ทเนอร์ทั้งสามไม่ได้สนใจในการอยู่ในแสงมากนัก และหวังว่าวัฒนธรรมของแบรนด์จะยิ่งใหญ่กว่าตัวตนของพวกเขา Oliver, Jay และ Dan จึงยังทำงานด้วยวิธีคิดแรกเริ่มของ Bodega ด้วยบรรยากาศที่ตั้งใจให้ต่างจากแบรนด์และร้านอื่นๆ ที่สร้างระยะห่างกับลูกค้า Bodega มีความตั้งใจให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่า Bodega เป็นเพื่อนร่วมห้อง เป็นเหมือนคนชิลๆ คนหนึ่งในห้องเรียนที่เราสามารถเดินเข้าไปทักทายตอนไหนก็ได้
ADIMATIC
รองเท้าสเก็ตไอคอนแห่งยุค 90 ที่เป็นครองใจสาวกชาวญี่ปุ่นนับตั้งแต่วันเปิดตัวในปี 1996 ได้กลับมาเฉิดฉายครั้งใหม่ หลังจากห่างหายไปกว่า 30 ปี ด้วยดีไซน์หนังกลับระดับพรีเมี่ยมที่เป็นที่นิยมในหมู่นักสเก็ตในยุคนั้น ทำให้กลายเป็นโมเดลในตำนานสำหรับวงการนี้ไปโดยปริยาย
ญี่ปุ่นสมัยยุค 90 การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ได้กว้างขวางแบบในปัจจุบัน ทำให้แมกกาซีนเป็นหนทางเดียวที่วัยรุ่นจะได้รับข้อมูลและข่าวสารของวงการแฟชั่น ด้วยกระแสนิยมของแฟชั่น สไตล์ฮาราจุกุสมัยนั้นที่นำแฟชั่นของวัยรุ่นพังค์หัวขบถและชาวสเก็ต มาแต่งกายกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ด้วยระยะเวลาของยุคปลาย 90 หรือที่เรียกกันว่ายุค Y2K เป็นยุคแห่งปาร์ตี้และความสนุกสนานการใช้ชีวิตวัยรุ่นราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ คือปณิธานแห่งยุค บวกกับการที่วัฒนธรรมของโลกอยู่ในยุคที่แพร่ขยายอิทธิพลให้กันอย่างต่อเนื่อง ทำให้วงการแฟชั่นของญี่ปุ่นที่อยู่ในจุดเดือด ณ ขณะนั้นได้ระเบิดออก และทำให้เราได้เห็นสไตล์ที่สั่งสมมานานได้ออกมาเฉิดฉายอย่างเต็มที่
อิทธิพลของกระแสวัยรุ่นจากตะวันตกเสริมกับบรรยากาศแห่งยุค Y2K เป็นผลให้เหล่าผู้นำแฟชั่นของญี่ปุ่นได้นำความเป็นสตรีทแฟชั่น พังค์ สเก็ต มาผสานรวมกัน และด้วยความที่โตเกียวเป็นเมืองหลวงที่มีย่านแฟชั่นอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ฮาราจุกุ หรือ ชิบูย่า ทำให้เมื่อทุกคนได้ยลโฉม Adimatic เป็นครั้งแรกก็ได้หลงรักมันในทันที
นอกจากฝั่งญี่ปุ่นแล้วฝั่งตะวันตกในโซนของวงการ Nu Metal โมเดล Adimatic ก็เป็นที่น่าสนใจเช่นกัน โดยหลังจากที่โมเดล Adimatic ได้เปิดตัวในนิตยสาร Thrasher ในปี 1996 และทำให้วงการสเก็ตบ้าคลั่งไปแล้ว เรายังได้เห็นเจ้า Adimatic สีดำไปอยู่บนเท้าที่ใช้เหยียบเอฟเฟคกีต้าร์ของ Stephen Carpenter มือกีต้าร์สุดเท่เเห่งวง Deftones ซึ่งเขาได้ใส่ถ่ายปกเทปโปรโมทอัลบั้มในตำนานอย่าง Around The Fur อีกด้วย
ด้วยดีไซน์จากหนังกลับ (Suede) สุดทนทาน โดดเด่นด้วยลายซิกแซกที่พื้นรองเท้าชั้นกลางโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณฺ์แห่งยุค 90 ผสานกับโคลนที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ อย่างลงตัว คู่สีของ Color Block ที่เป็นเอกลักษณ์ เเต่ยังสามารถใส่ได้หลากหลายลุค ทั้งหมดนี้ทำให้ ทั้งด้านการใช้งานและดีไซน์ของ Adimatic ตอบโจทย์วัยรุ่นขาสเก็ตเอามากๆ Adidas Adimatic สำหรับวัยรุ่นในยุค 90 นั้นเป็นเหมือนสิ่งที่เกิดมาเพื่อช่วงเวลานั้นพอดี เป็นจังหวะและเวลาที่พอเหมาะที่สุด ด้วยดีไซน์และเอกลักษณ์ที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างพอดี ในช่วงที่ทุกอย่างมีแต่ความวุ่นวาย Adimatic ก็เหมือนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของวัยรุ่นที่ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่น เเต่มันมีไว้สำหรับผู้คนที่รักในอิสระทุกหนแห่ง
ในปี 2023 นี้ความขลังของ Adimatic ก็วนเวียนมาหาเราอีกครั้ง โดยผสานสองร้านจากคนละฟากของโลก อย่าง BEAMS แบรนด์จาก Tokyo เมืองหลวงแฟชั่นของแดนอาทิตย์อุทัยที่ใครหลงใหลในวงการแฟชั่นก็ต้องรู้จัก โครจรมาพบเจอกับ Bodega ร้านสะดวกซื้อแห่ง Boston เมืองท่าผู้ดีแห่งดินแดนเสรีภาพ ที่ภายในเป็น Sneaker Boutiques Store ที่โด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นเหมือนกับพรมลิขิตที่นำเอกลักษณ์แห่ง Adimatic เมื่อครั้งยุค 90 มาผสานกับ 2 แบรนด์ที่มีหัวใจความเป็นสตรีทในแบบของตัวเองอย่างชัดเจน โดยดีไซน์คู่สีชวนให้นึกถึงสี OG เมื่อครั้งปี 1996 ที่ทำให้ชาว อุราฮาร่า กลายเป็นสาวกของโมเดลนี้มาแล้ว แต่ในคราวนี้พวกเขาสลับ Color Block ออกมาให้ความรู้สึกพิเศษแต่ดั้งเดิมที่ไม่ใช่ทุกการคอลแลบจะทำได้
BEAMS
BEAMS แบรนด์จากแดนอาทิตย์อุทัยที่ใครหลงใหลในวงการแฟชั่นก็ต้องรู้จัก ก่อตั้งโดย Etsuzo Shitara ในปี 1976 ที่ร้านเล็กๆ ขนาด 21.5 ตารางเมตร ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นในย่านฮาราจุกุ โดยเป็นที่รู้จักในชื่อ American Life Shop BEAMS มาจากความหลงใหลในแฟชั่น American Style โดยสไตล์ของร้านแห่งแรกนั้นก็ถูกจัดให้ความรู้สึกเดียวกับหอพักนักศึกษา UCLA ตามแบบฉบับแฟชั่นกลิ่นอาย “อเมริกันแท้”
Etsuzo Shitara นั้นเดิมทีเป็นเจ้าของโรงงานผลิตลังกระดาษที่ประสบความสำเร็จ Shinko Inc. มาก่อนจนกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1973 ที่ส่งผลกระทบทางลบเป็นอย่างมาก และส่อแววจะต้องปิดตัวบริษัท ทำให้ Etsuzu ต้องหาช่องทางทำธุรกิจอื่น และตอนนั้นเองที่เขาร่วมมือกับ Osamu Shigematsu ชายผู้หลงใหลในแฟชั่นสไตล์อเมริกันแบบต้นฉบับ ผู้มีคอนเนคชั่นที่สามารถหาเสื้อผ้า “อเมริกันแท้ๆ” มาให้เขาได้
BEAMS ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยความแปลกใหม่ของสไตล์เสื้อผ้า ที่พบเห็นได้ยาก ด้วยความที่เป็นเสื้อผ้านำเข้าจากอเมริกาและคัดสรรค์สไตล์และกลิ่นอายที่ชัดเจน อย่างเสื้อยืดลายมหาวิทยาลัย ชุดสเกตบอร์ด ทีมกีฬา และอาชีพต่างๆที่อยู่ในวัฒนธรรม”อเมริกันแท้” ที่เห็นกันผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้ง ไม่นานหลังจากเปิดตัวภายในหนึ่งปีก็ได้เปิดตัวร้านที่สองที่ ชิบูย่า อีกย่านแฟชั่นสำคัญของโตเกียว
ในยุค 70-80 เทรนด์แฟชั่นของประเทศญี่ปุ่นได้พบเจอกับกระแสของ ชุดสไตล์ที่อินสไปร์จากแฟชั่น Preppy จากที่เห็นได้ชัดในหนังสือ Take Ivy ในปี 1965 ที่เป็นต้นแบบแห่งรสนิยมที่คัดสรรค์ให้กลายมาเป็นแนวการแต่งตัวที่อมตะแบบทุกวันนี้ และนิตยสาร POPEYE ที่ร่วมกับ BEAMS ได้สร้างยุคทองแห่งความคลั่งใคล้ในแฟชั่นอเมริกันจนกลายเป็นส่วนนึงของวัฒนธรรมแฟชั่นญี่ปุ่นในที่สุด
หลังจากการเริ่มต้นด้วยความหลงใหลในแฟชั่นอเมริกัน ในปัจจุบัน BEAMS เป็นแบรนด์ที่ไม่ใช่แค่ เสื้อผ้าเท่านั้น แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ที่มีกลิ่นอายเกินความหลงใหล แต่กลายเป็นวิถีชีวิต และขยับขยายแบรนด์ย่อยเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็น “International Gallery BEAMS” ที่มุ่งเน้นเรื่องแฟชั่นงานนำเข้าและอาร์ทเวิค “Ray BEAMS” และ “BEAMS BOY” สำหรับสาวๆ “BEAMS T” ร้านบูทีคสำหรับสาวกเสื้อยืดไฮเอนด์ที่ชื่นชอบงาน Collaborations “BEAMS PLUS” กับงานอิมพอร์ท และงานแบรนด์ญี่ปุ่นคลาสสิค “BEAMS F” สำหรับสไตล์เรียบหรูแบบ Tailored Menswear “B Yoshida” ที่โฟกัสที่ด้านกระเป๋า “BEAMS Records” ที่โฟกัสด้านแผ่นเสียง และ “BEAMS Modern Living” ในตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน
มากกว่า 40 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นเส้นทางการเติบโตของ BEAMS จากร้านที่เกิดจากความหลงใหลในแฟชั่นอเมริกัน กลายเป็นไอคอนแห่งอุตสาหกรรมแฟชั่นญี่ปุ่นที่ทำให้วงการเติบโตไปจนอยู่ในใจคนทั้งโลกได้ในที่สุด
#adidas #adimatic #beams #bodega #carnivalbkk